วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เลี่ยงซะ! 8 พฤติกรรมที่ทำให้คุณดูแก่ขึ้น



ผู้หญิง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สาว ๆ ที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับคำว่า "แก่" ต้องฟังทางนี้โดยด่วน นั่นเพราะหากคุณเผลอทำพฤติกรรมที่เรานำมาบอกต่อไปนี้ ความแก่อาจกำลังมาเยือนคุณอย่างไม่รู้ตัวเชียวล่ะ

 1.นอนดึก

          รู้หรอกน่าว่าสาว ๆ เวิร์กกิ้งวูแมนมีงานยุ่งเต็มไม้เต็มมือไปหมด จนใช้เวลาช่วงเย็นจนถึงกลางคืนหมดไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้สึกตัวว่าต้องนอนได้แล้วก็ดึกเสียแล้ว แต่รู้ไหมว่า การนอนดึกซึ่งจะทำให้ชั่วโมงการนอนของคุณสาว ๆ น้อยลงนั้นไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เพราะมีงานวิจัยระบุว่า การนอนดึกนอกจากจะมีผลต่อความดันโลหิต น้ำหนักตัว และโรคเบาหวานแล้ว ยังทำให้คุณดูแก่ขึ้นด้วย

          อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้บอกให้คุณต้องนอนวันละ 8 ชั่วโมง ที่ใคร ๆ ต่างก็แนะนำว่าดีต่อร่างกายที่สุดหรอกนะ เพราะจำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ถ้าอยากทราบว่า ร่างกายของเราต้องการนอนมากแค่ไหน ก็ลองปิดนาฬิกาปลุกในวันที่เหนื่อยมาก ๆ และกำลังต้องการการพักผ่อนอย่างสุด ๆ แล้วนอนซะ ตื่นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะได้รู้ว่าธรรมชาติของร่างกายของเราต้องการการนอนมากแค่ไหน ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ต้องการการนอนหลับพักผ่อนราว 7-8 ชั่วโมง

ขนมหวาน

 2. น้ำตาลทำพิษ

          สาว ๆ กับความหวานอาจจะเป็นของคู่กัน แต่ "น้ำตาล" ที่ทำให้เกิดความหวานนั่นแหละค่ะ คือศัตรูตัวสำคัญของผิวสวยของคุณ เพราะมันจะทำให้ผิวพรรณดูหม่นหมอง และเหี่ยวย่นเอาได้ง่าย ๆ เพราะมันจะไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินซึ่งคงความกระชับให้ผิวพรรณนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้ว คุณก็ควรจำกัดการทานน้ำตาล โดยไม่ควรทานให้มากเกิน 10% ของแคลอรีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน ซึ่งน้ำตาลที่ว่าอาจจะเป็นน้ำตาลที่แฝงอยู่ในขนม เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ

 3.เครียดไปก็แก่ไว

          งานที่กองสุมหัว แถมปัญหาส่วนตัวก็ยังแก้ไขไม่เสร็จ ย่อมนำความเครียดมาสู่คุณสาว ๆ อย่างแน่นอน แต่หากความเครียดเกิดขึ้นเมื่อใด ฮอร์โมนคอร์ติซอลและนอร์เอพิเนฟรินในกระแสเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นจนไปกดภูมิคุ้มกัน และยังไปกระทบสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ และอารมณ์ ของคุณอีกต่างหาก

 4.ฟังเพลงเสียงดัง 

          เสียงที่ดังเกินไปจากไอพอดที่คุณฟังทุก ๆ วัน ย่อมส่งผลกระทบต่อประสาทหูของคุณอย่างแน่นอน โดยเพียงแค่คุณเปิดเสียงที่ระดับ 50% ความดังของเสียงก็พุ่งถึง 101 เดซิเบลแล้ว แน่นอนว่าใครที่ชอบฟังเสียงดัง ๆ แบบเต็มสตรีม อาการหูดับคงจะถามหาอย่างไม่ต้องสงสัย ทีนี้ ใครพูดอะไรทีก็ต้องเงี่ยหูฟัง หรือให้เขาพูดดัง ๆ อีกหลายรอบ กลายเป็นคนหูตึงเหมือนคนแก่เลยนะตัวเธอ

เพื่อน

 5.ไม่ได้เจอเพื่อนเสียนาน

          มีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่า การมีความสุข และความพึงพอใจในมิตรภาพระหว่างเพื่อนสามารถทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น เพราะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนจะส่งผลต่อจิตใจ ช่วยให้คุณไม่หดหู่ ซึมเศร้า ลดโอกาสเสี่ยงของโรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากมาย เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ได้เจอะเจอหน้าเพื่อนเก่ามานานแล้ว โทรไปชวนเพื่อน ๆ มาจอยกันดีกว่า

 6.ไม่ปลื้มผักผลไม้เอาเสียเลย

          "ผักผลไม้" ช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เพราะผักผลไม้มีพลังต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของผิว และร่างกายของคุณ อันจะทำให้คุณดูแก่ขึ้น แถมเจ้าสารอนุมูลอิสระนี้ยังมีส่วนทำลายเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้คุณเป็นโรคมะเร็งได้อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นจงกินผักเสียดี ๆ คุณสาว ๆ ทั้งหลาย

ถั่ว

 7.หลีกหนีไขมัน (ตัวดี)

          หลายคนเข้าใจว่า "ไขมัน" คือศัตรูที่ร้ายที่สุดของการลดความอ้วน แต่จริง ๆ แล้ว "ไขมัน" ดีที่มีประโยชน์ก็มีอยู่มาก เช่น ไขมันจากปลา ถั่ว และน้ำมันมะกอก ล้วนเป็นไขมันดีและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อสมอง หัวใจ กระดูกและข้อต่อต่าง ๆ แถมยังช่วยลดไขมันเลว หรือ LDL คอเลสเตอรอลได้อีกด้วย 

 8.จำไม่ได้ว่ามีเซ็กส์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

          สำหรับสาว ๆ ที่แต่งงานแล้ว ฟังทางนี้ เพราะงานวิจัยพบว่า เซ็กส์ สามารถช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นได้ เนื่องจากมันจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ช่วยลดความเจ็บปวด ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ลดความเครียด แถมยังช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญ ยังทำให้คุณดูเด็กลงได้ถึง 12 ปีเลยเชียวนะ

          ได้อ่านทั้ง 8 ข้อแล้ว ใครที่เคยทำข้อไหน ลองนำไปปรับปรุงกันดูนะจ๊ะ ไม่งั้นถ้ามีเด็ก ๆ มาทักว่า "ป้า" จะหาว่าหยาบคายไม่ได้นะเออ อิอิ                                                              credit ที่มา health kapook.com

วิจัยชี้ ทานไข่แดงเสี่ยงโรคหัวใจพอ ๆ กับสูบบุหรี่


วิจัยชี้ ทานไข่แดงเสี่ยงโรคหัวใจพอ ๆ กับสูบบุหรี่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         "การทานไข่แดงมากเกินไปนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ คอเลสเตอรอลสูง" ประโยคนี้เหมือนจะเป็นสิ่งที่คุ้นหูกันดี โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ใครหลาย ๆ คนเลี่ยงทานไข่แดงกันไปเลยทีเดียว แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อและเลี่ยงได้อย่างนั้น ดูเหมือนว่าคุณจะต้องโล่งอกสองต่อ เพราะงานวิจัยที่เรานำมาฝากคุณ ๆ วันนี้ เขาบอกว่า นอกจากไข่แดงจะมีคอเลสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันแล้ว ยังทำให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาได้พอ ๆ กับการสูบบุหรี่เลยทีเดียว

          งานวิจัยชิ้นนี้ดำเนินการวิจัยโดย นายแพทย์เดวิด สเปนซ์ จากกรุงลอนดอนของอังกฤษ ได้ทำการศึกษาสุขภาพและพฤติกรรมการทานอาหารของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองอายุ เฉลี่ย 61.5 ปี ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศูนย์แพทย์แห่งมหาวิทยลัยการแพทย์ลอนดอน จำนวน 1,231 คน โดยประเมินจากปริมาณบุหรี่ และไข่แดงที่บริโภคในแต่ละสัปดาห์ พบว่า ทั้งการสูบบุหรี่ และการทานไข่แดง ต่างเป็นปัจจัยที่เพิ่มความหนาของผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ได้ในปริมาณไล่เลี่ยกัน โดยการทานไข่แดงจะมีความเสี่ยง 2 ใน 3 ของการสูบบุหรี่

ไข่แดง

          งานวิจัยระบุว่า การทานไข่แดงและสูบบุหรี่ ทำให้ผนังหลอดเลือดสมองคาโรติด หนาขึ้นจนกระทั่งตีบตัน ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ใหญ่วัย 40 ปี ขึ้นไป ผนังหลอดเลือดสมองคาโรติดจะค่อย ๆ หนาขึ้นอยู่แล้ว แต่เป็นไปอย่างช้า ๆ แต่การทานไข่แดงหรือสูบบุหรี่ จะเร่งความหนาของผนังหลอดเลือดให้เร็วขึ้น ซึ่งเมื่อหลอดเลือดสมองคาโรติดตีบตัน ก็จะทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด นำมาซึ่งโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตัน 

          ทางด้านนายแพทย์เดวิด สเปนซ์ ได้เปิดเผยว่า ไข่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีต่อผู้ที่มีสุขภาพดี แต่ก็ยังมีประเด็นที่คนเราไม่เข้าใจกันอยู่ เรารู้กันมานานว่า ไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ในวัยผู้ใหญ่ ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงเป็นงานวิจัยสำหรับผู้ใหญ่ทั้งหลาย ให้ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของไข่แดงว่า นอกจากเรื่องคอเลสเตอรอลแล้ว ไข่แดงก็ยังเร่งความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองได้เท่า ๆ กับการสูบบุหรี่ดังที่กล่าวมาข้างต้น                                                                                     credit ที่มา health kapook.com

สธ.เตือน ใช้ส้วมนั่งยอง ทำข้อเข่าเสื่อมเร็ว



ส้วม

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สธ.เตือน ใช้ส้วมนั่งยอง ๆ หรือส้วมซึม เร่งทำข้อเข่าเสื่อมเร็ว พร้อมเสนอโครงการปลดทุกด้วยรอยยิ้ม โถห้อยขาเสริมสุขผู้สูงวัย หวังเปลี่ยนให้ชาวไทยใช้ชักโครกเพิ่มขึ้น ลดภาวะเสี่ยงข้อเข่าเสื่อม

          เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยเกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปว่า ขณะนี้มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะปี พ.ศ.2553 ซึ่งประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุจำนวน 7.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 11.3 ของประชากรทั้งหมด 

          ทั้งนี้ นายแพทย์สุรวิทย์ ยังได้กล่าวถึงสถิติของผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อในไทยของมูลนิธิข้อ พบว่า ในปี พ.ศ.2549 มีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมกว่า 6 ล้านคน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี นอกจากนี้ยังพบว่า อายุของผู้ที่เป็นนั้นมีอายุน้อยกว่า 45 ปี และจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนในกลุ่มที่อายุมากกว่า 45 ปี จะพบเพศหญิงเป็นมากกว่าเพศชาย อีกทั้งยังพบอีกว่า ประชากรที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าร้อยละ 80-90 เลยทีเดียว เนื่องจากมีปัจจัยเสริมในหลาย ๆ ด้าน เช่น โรคอ้วน, อายุมาก, การนั่งยอง ๆ  หรือการนั่งพับเพียบนาน ๆ 
    
          ส่วนปัจจัยที่เสี่ยงให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้เร็วนั้น นายแพทย์สุรวิทย์ กล่าวว่า การใช้ส้วมนั่งยอง ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ซึ่งขณะนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมอนามัยจัดทำ"โครงการปลดทุกข์ด้วยรอยยิ้ม โถห้อยขาเสริมสุขผู้สูงวัย พ.ศ. 2556-2559" ทั้งนี้ ก็เพื่อต้องการรณรงค์ให้ชาวไทยทุกครัวเรือน พร้อมใจกันเปลี่ยนโถส้วมจากชนิดนั่งยอง ๆ หรือ ส้วมซึม หันมาใช้โถส้วมแบบนั่งราบห้อยขา หรือ ชักโครก ให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2559 

          สำหรับสถานที่สาธารณะที่ประชาชนใช้บริการห้องน้ำเป็นประจำ 12 แห่ง ได้แก่... 

           1.สถานที่ท่องเที่ยว  
           2.ตลาด  
           3.ร้านอาหาร 
           4.สถานศึกษา 
           5.สถานที่ราชการ 
           6.โรงพยาบาล และสถานบริการสาธารณสุข 
           7.ศาสนสถาน 
           8.ห้างสรรพสินค้า 
           9.สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 
           10.ส้วมริมทาง 
           11.สถานีขนส่ง
           12.สวนสาธารณะ 

           อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์ให้ทุกแห่งปรับเปลี่ยนและเพิ่มโถส้วมแบบนั่งราบห้อยขาอย่างน้อย 1 ที่ ภายในปี 2559 และมีระบบการดูแลความสะอาด เพื่อให้เป็นส้วมที่ได้มาตรฐานความสะอาด ปลอดภัยทุกแห่ง โดยจะเสนอโครงการนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบต่อไป 

         นอกจากนี้ นายแพทย์สุรวิทย์ ยังกล่าวถึงผลสำรวจเกี่ยวกับการใช้ส้วมของคนไทยว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังนิยมการใช้โถส้วมชนิดนั่งยองสูงถึงร้อยละ 86 มีโถส้วมชนิดนั่งราบห้อยขาเพียงร้อยละ 13 และผลการสำรวจสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น ห้องอาหาร ปั๊มน้ำมัน พบว่า มีส้วมแบบนั่งราบห้อยขาแล้วร้อยละ 55 เท่านั้น                                                                               อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก 
    credit ที่มา health kapook.com

8 อาหารมหัศจรรย์เพื่อฟันสวย



แอปเปิ้ล

8 อาหารมหัศจรรย์เพื่อฟันสวย (Lisa)

          อยากฟันขาวต้องกินอะไร มีเทคนิคอย่างไรให้คราบอาหารหลุดลอก เรามาลองดูกัน

           1.แอปเปิ้ล และแครอท ทั้งสองอย่างนี้คือผักผลไม้กรอบที่ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดตามธรรมชาติ และด้วยความกรอบ จึงช่วยขัดคราบออกจากฟันในขณะที่เคี้ยวด้วย

           2.บร็อกโคลี่ ไม่เพียงแต่บร็อกโคลี่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันคุณจากมะเร็งและโรคหัวใจ แต่ยังช่วยปกป้องฟันโดยการสร้างเยื่อบาง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านกรด จึงช่วยปกป้องและเคลือบฟันอีกทีหนึ่ง เคยมีงานวิจัยจากบราซิลพบว่า บร็อกโคลี่จะช่วยลดการสึกกร่อนของเคลือบฟันที่เกิดจากน้ำอัดลมได้กว่าครึ่ง

           3.ส้ม และสับปะรด ผลไม้ทั้งสองช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลาย สำหรับส้มนั้น ลองนำด้านในของเปลือกมาถูกับฟัน จะช่วยลดการสะสมของคราบ ทำให้ยิ้มของคุณสวยขึ้นอีก

           4.น้ำมะนาว สิ่งที่ต้องลองก็คือ ผสมน้ำมะนาวกับเบคกิ้งโซดา หรือเกลือ เพื่อนำมาแปรงฟันให้ฟันขาว (อย่าลืมกลั้วปากให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหลังจากนั้น เพราะกรดจากน้ำมะนาวอาจทำให้เคลือบฟันกร่อนได้)

           5.สตรอเบอร์รี่ แตกต่างจากเบอร์รี่สีเข้มอื่น ๆ เพราะสตรอเบอร์รี่จะไม่ทำให้ฟันเป็นคราบ แต่จะช่วยขัดฟัน ลองผสมแป้งทำเป็นครีมแล้วทาลงบนฟันสัก 5 นาทีแล้วค่อยล้าง จะพบว่าฟันสะอาดขึ้น

           6.เห็ดหอม ความลับอยู่ที่น้ำตาล Lentinan ในเห็ดหอม จะช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากที่นำไปสู่ฟันผุและเคลือบฟันกร่อน

           7.งา เมล็ดงาทำหน้าที่เป็นเหมือนสครับที่ช่วยลดคราบฟัน นอกจากนี้ ยังให้แคลเซียมซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อสุขภาพฟันที่ดี นอกจากงาแล้ว ถั่วอย่างเช่น อัลมอนด์ ก็ให้ผลแบบเดียวกัน

           8.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ นับเป็นน้ำยาขจัดคราบที่ดีมาก แต่รสชาติไม่ค่อยเหมาะกับการนำไปกลั้วปากเท่าไหร่ ลองใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับเบกกิ้งโซดาทำเป็นครีมไว้ถูบนฟันจะดีกว่า

Tip

          คุณรู้หรือไม่ว่า.. วิธีแปรงฟันที่ดีที่สุดคือ จับหัวแปรงเอียง 45 องศา แล้วค่อย ๆ แปรงเป็นวงกลม เหมือนจับดินสอ คุณจะได้ไม่แปรงฟันแรงเกินไป
credit ที่มา health kapook.com & Lisa

6 เคล็ดลับที่ทำให้คุณตื่นมาพร้อมความสดชื่น


สุขภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
          แค่ลืมตาตื่นก็ยากอยู่แล้ว แถมยังต้องมาทนกับเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าอีก เมื่อคิดถึงเรื่องเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะแล้ว ไม่อยากจะพลิกตัวลุกขึ้นไปอาบน้ำเลยจริง ๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ต้องมาแต่งหน้าแต่งตัวอีก จะส่งกระจกทีไรก็เห็นขอบตาคล้ำ ๆ ทุกที เห็นแล้วปวดใจจริง ๆ ซึ่งกว่าจะได้ออกจากบ้านก็เหลือเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว ไปจะทำงานก็ต้องปวดหัวกับเรื่องรถติดอีก แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ชีวิตของคนธรรมดานี่ ไม่ธรรมดาจริง ๆ เลยนะ 
 
          วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยนำเรื่องราวดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางให้กับคุณเตรียมตัวตั้งรับกับเช้าวันใหม่ที่แสนจะยุ่งยากมาบอกกัน ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ  

แต่งตัว

 1. เตรียมชุดที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้ไว้ทุกครั้ง
 
          สิ่งที่ทำให้คุณเสียเวลามากที่สุด และต้องมาตอกบัตรที่บริษัทแบบฉิวเฉียด กึ่ง ๆ สาย ทุกครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณมัวแต่เสียเวลาไปกับการค้นตู้เสื้อผ้านะสิ และคิดว่าวันนี้จะใส่ชุดสีอะไรดีนะ (ยังไม่รวมเวลาแต่งหน้านะ) กว่าจะตัดสินใจได้ก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่อยากเป็นแบบนี้อีก ก็ลองเปลี่ยนวิธีใหม่นะคะ โดยคิดไว้ซะตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยว่าพรุ่งนี้คุณจะใส่อะไรไปทำงาน ทั้งเสื้อผ้า ทั้งกระโปรง ลายไหนสีไหนก็คิดให้เสร็จ แล้วเอามาแขวนไว้หน้าตู้ ครั้งต่อไปก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนปวดหัวเลือกเสื้อผ้าทุกเช้าอีก 

 2. เตรียมของใช้ให้พร้อม
 
          ทั้งกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ สมุดจดตารางนัดหมาย ฯลฯ สิ่งสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ที่คุณจะต้องใช้ หยิบใส่กระเป๋าให้พร้อม และถ้าในคืนนั้นคุณต้องชาร์จแบตมือถือทิ้งไว้ทั้งคืนละก็ คุณก็ควรแปะโน้ตเตือนความจำไว้ที่กระเป๋าด้วยนะคะ และก่อนจะสะพายกระเป๋าออกจากบ้านก็ลองเช็คของในกระเป๋าดูอีกครั้งว่า คุณมีของครบแล้วหรือยัง ถ้าเช็คดูจนมั่นใจแล้วก็ออกไปทำงานได้เลย อ้อ! อย่าลืมกุญแจบ้าน หรือกุญแจรถนะคะ จะหาว่าเราไม่เตือน

 3. เตรียมอาหารให้ท้องอิ่ม
 
          เราไม่ได้ให้คุณทำอาหาร แล้วกินเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืนนะคะ แต่เราให้คุณเตรียมอาหารไว้สำหรับวันถัดไปต่างหาก คุณอาจจะแพ็คใส่กล่องข้าว หรือถุงแล้วนำไปแช่ตู้เย็น วันรุ่งขึ้นก็แค่นำอาหารไปเวฟ หรืออุ่นอาหารให้สุก แค่นี้ก็ประหยัดเวลาทำอาหารไปได้อีกเยอะเลย และที่สำคัญคุณก็ไม่ต้องตื่นเช้ามาทำอาหารในสภาพหลับ ๆ ตื่น ๆ อีกต่อไป 

กระดาษโน้ต

 4. แปะโน้ตสำคัญเอาไว้
 
          ถ้าวันนี้คุณติดประชุม หรือมีนัดทานข้าวกับลูกค้า หรือจะออกไปท่องราตรีกับเพื่อน ๆ  ก็ควรติดข้อความบอกที่บ้านของคุณไว้หน่อยก็ดีนะคะ เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องมานั่งรอคุณกลับบ้านดึก ๆ อย่างเช่น คืนนี้กลับดึกนะ มีนัดกับลูกค้า หรือวันนี้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ต้องทานข้าว หรือสารพัดข้อความที่คุณอยากจะบอกกับคนในบ้าน ก็ติดเอาไว้ในที่ที่พวกเขาเห็นได้ง่าย ๆ อย่างเช่น ตู้เย็น หรือบนกระดาน เพียงแค่นี้พวกเขาก็จะรู้แล้วว่า วันนี้คุณจะไปทำอะไรที่ไหน ถ้าหากคุณกลับผิดเวลา พวกเขาก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงยังไงล่ะคะ

 5. ทำอาหารเช้าได้ง่าย ๆ นิดเดียว 
          บางคนอาจจะละเลยมื้อสำคัญ อย่างเช่นอาหารมื้อเช้าไป เพราะต้องรีบออกไปทำงาน เลยไม่อยากเสียเวลากินข้าวที่บ้าน ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนวิธีกินอาหารดีไหมคะ แค่เปลี่ยนไปทานอาหารกินง่ายให้พลังงานสูงอย่างเช่น กล้วย ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล กันดีกว่าไหม ทั้งประหยัดเวลา ทั้งได้คุณค่าทางโภชนาการ อีกทั้งคุณจะได้ไม่พลาดมื้อสำคัญของวันด้วย 

 6. บันทึกรายรับ - รายจ่ายประจำวัน 

          ถ้าไม่อยากจะเจออาการสิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจละก็ คุณควรวางแผนไว้เลยว่า ในหนึ่งเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และในแต่ละวันคุณจะใช้จ่ายเงินวันละเท่าไหร่ เมื่อถึงตอนเช้า คุณก็แค่ก็เตรียมเงินให้เท่ากับจำนวนที่คุณตั้งไว้ และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ใช้เงินเกินงบ แค่นี้ก็คุณก็มีเงินเก็บได้ไม่ยาก และนี่ยังเป็นวิธีที่จะช่วยคุณควบคุมการใช้เงินได้ดีอีกด้วย ส่วนเงินที่เหลือในแต่ละวัน คุณจะเอาไปแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อน ๆ หรือจะเก็บเข้าธนาคารสะสมดอกเบี้ยเล่น ๆ ก็ได้ (แต่แนะนำว่าวิธีหลังดีกว่านะคะ)  

          คราวนี้คุณก็ทราบเคล็ดลับดี ๆ กันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันด้วยนะคะ เพราะถึงแม้ชีวิตของคุณจะยุ่งยาก หรือวุ่นวายสักแค่ไหน แต่ถ้าคุณมีวิธีบริหารเวลา และรู้จักวิธีตั้งรับดี ๆ ละก็ ต่อให้เป็นเรื่องยากแค่ไหน คุณก็สามารถเปลี่ยนเรื่องยาก ๆ เหล่านั้น ให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ภายในพริบตาเลยล่ะค่ะ คราวนี้คุณก็สามารถตื่นมาพร้อมรับแสงวันใหม่ได้โดยไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องจุกจิกกวนใจอีกแล้วล่ะ 
credit ที่มา health kapook.com                                     

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เผย 10 จุดเจ็บปวดตามร่างกาย มีที่มา

      หมอเผยที่มาของโรคจากอาการเจ็บปวดตามจุดต่างๆ เสมือนวิธีดูคร่าวๆ ให้รู้ทันโรค
อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้
'เจ็บต้นคอร้าวแขน' เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้ 'เจ็บแขนร้าวปลายมือ' ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้
'ปวดศีรษะร้าวต้นคอ' อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง 'ปวดหลังร้าวลงขา' น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา
'เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย' ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่ 'ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ' บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น
'เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา' ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก 'เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง' อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน
'เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา' ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์
และสุดท้าย 'เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท' การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว
คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com                      
credit นสพ.เดลินิวส์