วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

เริ่ม1เมย.ป่วยฉุกเฉิน บัตรปชช. ใช้รักษาได้ทุกรพ.

"ปู"คุยลั่นยกเครื่องใหญ่ แผน10ปีระบบสุขภาพ รักษาฟรี-ไม่มีเงื่อนไข ทั้งของรัฐบาล-เอกชน แก้ปัญหาไม่ยอมรับตัว


หมอปู- น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เดินทางไปกล่าวปาฐกถาหัวข้อ "นโยบายรัฐบาลต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" เดินหน้าโครงการผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาล โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว เริ่มวันที่ 1 เม.ย.นี้ ตามข่าว
เริ่ม 1 เม.ย.นี้ใช้บัตร ประชาชนใบเดียวเข้ารักษา′กรณีฉุกเฉิน′ ได้ทุกร.พ.โดยไม่มีเงื่อนไข นายกฯยิ่งลักษณ์-รมว.สธ.วิทยาบูรณาการ ระบบสุขภาพครั้งใหญ่ ประเดิมให้ Ɖ กองทุนสุขภาพ′ 30 บาทรักษาทุกโรค-ประกันสังคม-สวัสดิการข้าราชการ เข้ารักษากรณีฉุกเฉินได้ ทุกร.พ. โดยสปสช.จะสำรองจ่ายก่อนแล้วไปเก็บจากกองทุนที่ใช้สิทธิ นายกฯยันไม่มีการรวม 3 กองทุนแน่นอน ให้แต่ละกองทุนบริหารจัดการตัวเองต่อไป แต่จะทำงานร่วมมากขึ้น เพื่อคุณภาพและลดสิ้นเปลือง

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "นโยบายรัฐบาลต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" ภายในการประชุมวิชาการ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในทศวรรษที่สอง" จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และองค์การอนามัยโลก มีใจความตอนหนึ่งว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องการคือ อยากเห็นคนไทยสุขภาพดี มีระบบดูแลประชา ชน ทั่วถึง และไม่ใช่ดูแลแค่ปลายทางคือการรักษาพยาบาลเท่านั้น 

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า นโยบายรัฐบาลที่จัดเก็บค่ารักษาครั้งละ 30 บาท เพื่อแสดงว่าประชาชนซื้อบริการการรักษาพยาบาล ไม่ใช่รับการสงเคราะห์ และทำให้มุมมองต่อการดูแล ผู้ป่วยเปลี่ยนไป ช่วยให้ผู้ป่วยเข้ารับบริการรักษาอย่างสมศักดิ์ศรี ที่ผ่านมาระบบบริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าช่วยให้คนไทยเข้าถึงบริการมากขึ้น จากใช้บริการ 112 ล้านครั้งในปี 2547 เพิ่มเป็น 153 ล้านครั้งในปี 2553 และส่งผลให้จำนวนครัวเรือนยากจนลดลงถึง 78,000 ครัวเรือนต่อปี

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า อีก 10 ปีข้างหน้าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะต่อยอดการพัฒนาให้ดีขึ้น 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากโครง การการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ คือ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ โดยปรับให้ผู้ป่วยกรณีฉุกเฉินสามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลใดก็ได้ โดยจะไม่มีการถามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย แต่ใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว และไม่ต้องสำรองจ่าย เพราะสปสช.จะทำหน้าที่บริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน จะเริ่มให้บริการระบบนี้ทันทีวันที่ 1 เม.ย. 2555 นอกจากนี้จะนำระบบเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ เช่น ระบบเทเลเมดิซีน การให้คำปรึกษาผ่านระบบออนไลน์และการใช้สมาร์ท การ์ดเก็บข้อมูลประวัติสุขภาพ จะช่วยให้แพทย์ดูแลประชาชนได้เต็มที่ขึ้น เป็นต้น

"สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายกังวล เรื่องการรวม 3 กองทุนสุขภาพเป็นกองทุนเดียวนั้น ดิฉันขอยืนยันว่าไม่มีการรวมกองทุนใดๆ ทั้งสิ้น ทุกกองทุนจะยังต้องดูแลกองทุนของตัวเองต่อไป เพียงแต่จะต้องบูรณาการร่วมกันทั้ง 3 สิทธิรักษาพยาบาล เพื่อให้เกิดบริการแบบทั่วถึง ต่อเนื่อง และมีคุณภาพ" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า 2.การควบคุมค่าใช้จ่ายระยะยาว โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านยาที่คิดเป็น 46% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดของ คนไทย ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีค่าใช้จ่ายด้านยาเพียง 20% เท่านั้น จึงจำเป็นที่ทั้ง 3 กอง ทุนจะต้องบูรณาการร่วมกัน โดยกำหนดราคากลางยาหรือรวมกันจัดซื้อยา แต่ต้องไม่ลดคุณภาพ ยา และนำเงินส่วนต่างที่เกิดขึ้นมาใช้ปรับปรุงคุณภาพยาต่อไป รวมถึงควบคุมการใช้ยาฟุ่ม เฟือย แต่ไม่จำกัดการใช้ยาจำเป็น หากทำได้เช่นนี้จะช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้ระยะยาว 

การส่งเสริมสุขภาพประชาชนจะต้องเน้นเรื่องสร้างสุขภาพที่ดีมากกว่าการซ่อมสุขภาพ โดยจัดสร้างลานชุมชนสร้างสรรค์ การออกกำลังกาย อาหารเพื่อสุขภาพ และสุขภาพแม่ตั้งครรภ์ ประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองท้องถิ่น เน้นบทบาทร.พ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในการป้องกันโรค ให้ความรู้และการรักษาแก่ประชาชนในพื้นที่

"ประชาชนคนไทยควรมีหมอประจำครอบ ครัว โดยใช้เทคโนโลยีในการให้คำปรึกษา ซึ่งเบื้องต้นอาจเริ่มจากการที่แพทย์ให้คำปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ที่สถานพยาบาล แต่อนาคตระบบอินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกครัวเรือน อาจปรับให้ประชาชนขอคำปรึกษาแพทย์ได้จากที่บ้าน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลดจำนวนแพทย์ ยังอยากเห็น 1 แพทย์ 1 ตำบล" นายกฯ กล่าว

สำหรับการใช้สิทธิฉุกเฉินอย่างเท่าเทียมที่จะเริ่ม 1 เม.ย.นี้นั้น มีนิยามความหมายของคำว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินเบื้องต้น ว่า หมายถึง ผู้ป่วยที่เป็นโรค ได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการบ่งชี้ว่าจะเป็นอาการที่คุกคามต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ ได้แก่ หัวใจ สมอง ทางเดินหายใจ ต้องดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที เช่น หัวใจหยุดเต้น หอบหืดขั้นรุนแรง มีการเขียวคล้ำของปากและเล็บมือ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นหลอดลมทั้งหมด อุบัติเหตุรุนแรงบริเวณใบหน้าและลำคอ มีเลือดออกมาก ภาวะช็อกจากการเสียเลือด หรือขาดน้ำอย่างรุนแรง แขน ขาอ่อนแรงพูดไม่ชัด ชักตลอดเวลาหรือชักจนตัวเขียว มีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ถูกสารพิษ สัตว์มีพิษกัด หรือได้รับยามากเกินขนาด ถูกสุนัขกัดบริเวณใบหน้าและลำคอ เป็นต้น ทั้งนี้สามารถสอบถามถึงอาการฉุกเฉินที่เข้าข่ายจะได้รับสิทธิฉุกเฉินอย่างเท่าเทียมที่สายด่วน 1669

ด้านนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ความเท่าเทียมของแต่ละกองทุนที่เห็นชัดที่สุด คือ การให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินใน 3 ระบบ ให้สามารถใช้บริการได้ทุกร.พ. ทั้งร.พ. รัฐและเอกชน โดยไม่มีเงื่อนไข โดยมีสปสช. เป็นหน่วยงานกลางสำรองจ่ายเงินให้สถานพยาบาลต่างๆ ก่อน และค่อยเรียกเก็บตามสิทธิของผู้ป่วยภายหลัง นโยบายนี้จะทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการบริการทันท่วงที ไม่ต้องกังวลเรื่องสิทธิการรักษา เนื่องจากที่ผ่านมามักถูกถามว่าอยู่สิทธิไหน ซึ่งยุ่งยาก วันที่ 28 มี.ค.นี้จะมีการลงนามข้อตกลงร่วม 3 กองทุนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ก่อนประกาศใช้วันที่ 1 เม.ย.นี้                                             credit นสพ.ข่าวสด

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

มีปัญหาเรื่องสายตาบริจาคดวงตาได้หรือ

มีปัญหาสายตา-ตาเป็นต้อบริจาคได้หรือ? ให้แล้วควักไปทั้งลูกตาจริงไหม? พบคำตอบจากจักษุแพทย์... 
นายวัฒศิลป์ จิ้นสุริวงษ์ ผู้ได้รับบริจาคดวงตา แก้ไขโรคกระจกตาโป่งพอง 
พญ.สมพร จันทรา 
 การบริจาคอวัยวะ คือ การให้ที่ยิ่งใหญ่ ปัจจุบันอวัยวะที่สามารถปลูกถ่ายให้กับผู้อื่นได้ ประกอบด้วย หัวใจ ตับ ปอด ไต และดวงตา กรณีที่ผู้บริจาคเสียชีวิตลง แพทย์จะผ่าตัดนำอวัยวะเหล่านั้นออกจากร่างกายแล้วเย็บตกแต่งรอยแผลให้เรียบร้อยก่อนส่งให้ญาตินำศพไปทำพิธีทางศาสนา
โดยเฉพาะการบริจาคดวงตา หลายคนเกรงว่า ศพจะดูน่ากลัวเมื่อไม่มีดวงตา ซึ่ง ‘พญ.สมพร จันทรา’ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตา โรงพยาบาลราชวิถี ไขความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เมื่อผู้บริจาคเสียชีวิตลง แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะผ่าตัดนำดวงตาออกมาทั้งดวง จากนั้นจะตกแต่งเย็บบริเวณดวงตาให้สวยงาม ดูเหมือนคนกำลังนอนหลับ
ส่วนข้อสงสัยที่ว่า ผู้ที่มีปัญหาสายตา สามารถบริจาคดวงตาได้หรือไม่? พญ.สมพร แจงว่า บริจาคได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะสายตาสั้น ยาว เอียง เป็นต้อ เคยทำเลสิกมาก่อน ก็สามารถให้ได้ มีข้อจำกัดเพียงแค่ผู้ให้ต้องมีอายุ 2 ปีขึ้นไป แพทย์ต้องจัดเก็บหลังผู้บริจาคเสียชีวิตภายใน 6 ชั่วโมง
ตัวอย่างจากชีวิตจริงของ ‘นายวัฒศิลป์ จิ้นสุริวงษ์’ ป่วยโรคกระจกตาโป่งพองมาตั้งแต่เด็ก โรคนี้ทำให้สายตาสั้นและเอียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดไม่สามารถหาแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ใส่ได้ อาการภาพเบลอของวัฒศิลป์ รุนแรงมากในช่วงอายุ 13 ปี ผ่านไป 2 ปี จึงได้รับบริจาคหนึ่งข้าง และเมื่อปีที่แล้วเพิ่งได้รับบริจาคอีกข้าง นับตั้งแต่ได้รับบริจาค วัฒศิลป์ สามารถใช้สายตาอ่านหนังสือเรียน และใช้ชีวิตได้อย่างปกติปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม การบริจาคดวงตาของผู้บริจาค 1 คน จะนำไปให้กับผู้รับบริจาค 2 คน หรือมากกว่านั้น ซึ่งส่วนใดของดวงตาสามารถนำไปให้กับผู้รับได้บ้าง พญ.สมพร เผยเพิ่มเติมไว้ในคลิปประกอบเรื่องราว
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะและศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ชวนคนไทยบริจาคอวัยวะและดวงตา ในโครงการ Let Them See Love 2555 ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ปีนี้จัดในแนวคิด ‘THE ENDLESS GIVING การบริจาคอวัยวะ…การให้ที่ไม่สิ้นสุด’ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายอวัยวะมากถึง 10,777 ราย แบ่งเป็นอวัยวะ 3,166 ราย และดวงตา 7,611 ราย
แต่ในปี 2554 ที่ผ่านมา ศูนย์รับบริจาคอวัยวะได้รับบริจาคเพียง 113 รายเท่านั้น และนำอวัยวะไปปลูกถ่ายช่วยชีวิตได้ 533 ราย ส่วนศูนย์ดวงตา มีผู้ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา 523 ราย ซึ่งยังมีผู้รอรับการบริจาคอยู่เป็นจำนวนมาก หากประสงค์อยากเป็นผู้ให้ที่ไม่สิ้นสุด สอบถามข้อมูลการบริจาคเพิ่มเติมที่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โทร. 0-2256-4045-6 หรือ 1666 www.organdonate.in.th ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย โทร. 0-2256-4039-40 www.eyebankthai.com
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com  
credit นสพ.เดลินิวส์

3 สาเหตุ ไตป่วย

คนส่วนใหญ่มักรู้และเข้าใจว่า การกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็ม และพฤติกรรมดื่มน้ำน้อยเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคไต ส่วนผู้ที่ป่วยด้วยโรคไตแล้ว ก็จะต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง แต่น้อยคนที่จะรู้ถึงสาเหตุภายในที่ทำให้เกิดโรคไต
เมื่อไม่นานมานี้ ที่งาน “รักไต ใส่ใจสุขภาพ” ผศ.พญ.เสาวลักษณ์ ชูศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เผยว่า สาเหตุของโรคไตที่พบบ่อย มี 3 สาเหตุหลักๆ คือ เส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงไตเกิดตีบตัน ทำให้เลือดมาเลี้ยงไม่สะดวก เรียกว่า ไตขาดเลือด
สาเหตุต่อมา ตัวเนื้อไตเกิดการอักเสบ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยในไตอักเสบติดเชื้อ หรือแพ้ยาบางชนิด และสาเหตุสุดท้าย ปัญหาจากท่อส่งปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะ เช่น เกิดการตีบตันจากนิ่วหรือต่อมลูกหมากโต ส่งผลให้เกิดความดันไปยังไต 
ทั้งนี้ ผศ.พญ.เสาวลักษณ์ ระบุถึงอาการเตือนโรคไต ที่คนทั่วไปสามารถสังเกตได้นั้น มีทั้งการปัสสาวะขัด รู้สึกปวดแสบต้องเบ่งนาน ปัสสาวะน้อย มีสีขุ่นหรือเป็นเลือด ตัวบวม ซีด ความดันโลหิตสูง ปวดหลัง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน กินไม่ได้ อ่อนเพลีย ดังนั้น ผู้ที่พบว่า ตนเองมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่า ไตมีความผิดปกติหรือไม่ 
อย่างไรก็ตาม การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รู้ทันโรคไต รู้ว่าไตมีความบกพร่องหรือไม่ ซึ่ง ผศ.พญ.เสาวลักษณ์ บอกว่า โดยเฉพาะการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ สามารถนำไปตรวจให้รู้ว่ามีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่ และการตรวจเลือด เพื่อดูค่า BUN (Blood Urea Nitrogen : บลัด ยูเรีย ไนโตรเจน) เป็นการประเมินประสิทธิภาพไตในการล้างของเสียหากผิดปกติ จะพบว่า ในเลือดมีของเสียปน
ด้านงาน “วันไตโลก ปี 2555” สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริประธานอนุกรรมการป้องกันโรคไตเรื้อรัง สมาคมโรคไตฯ เล่าสถานการณ์โรคไตว่า ปัญหาโรคไตเรื้อรังรวมทั้งโรคไตวายระยะสุดท้ายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมากกว่า 30,000 รายในประเทศไทย ทว่าในแต่ละปีมีผู้บริจาคอวัยวะเพียงปีละไม่ถึง 200 รายเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากยังรอรับการบริจาคไตและมีไม่น้อยที่เสียชีวิตไประหว่างการรอรับอวัยวะบริจาค
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ จึงอยากรณรงค์และเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคไต เพราะการบริจาคไต ช่วยได้ 2 ชีวิต ซึ่งไตทั้ง 2 ข้างของผู้บริจาคจะถูกนำไปให้กับผู้รับบริจาคข้างละคน ทั้งนี้การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในการช่วยผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย
ผู้ที่มีความประสงค์บริจาคไต แสดงความจำนงด้วยตัวเอง ณ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ กรณีอยู่ต่างจังหวัดสามารถสมัครได้ที่กาชาดจังหวัดหรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มจากเว็บไซต์ของศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย http://www.organdonate.in.th ทั้งนี้ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยจะเป็นผู้ทำหน้าที่จัดสรรไตไปยังผู้ป่วยที่รอไต โดยพิจารณาจากลักษณะเนื้อเยื่อที่มีความใกล้เคียงหรือตรงกับผู้ที่รอรับบริจาคอวัยวะมากที่สุด
สำหรับระบบการดำเนินการแจกจ่ายอวัยวะในประเทศไทยเป็นระบบที่โปร่งใส มีการวินิจฉัยการตายก่อนนำอวัยวะออกจากผู้บริจาคตามหลักกฎหมายและวิชาการซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ดำเนินการและควบคุมโดยสภากาชาดไทย ภายใต้ข้อบังคับแพทย์สภาซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีส่วนได้เสียหรือหวังผลกำไร.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com  
credit นสพ.เดลินิวส์

คนชอบกินเนื้อต้องระวัง มะเร็ง-หัวใจ คร่าชีวิต

แม้จะมีผลวิจัยหลายชิ้นก่อนหน้านี้ ระบุว่า การกินเนื้อสัตว์มากๆ มีผลเกี่ยวข้องกับการป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจ โดยล่าสุด ศ.ดร.แฟรงค์ บี ฮู จากมหาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้เผยผลวิจัยชิ้นแกะกล่อง สมทบผลงานวิจัยชิ้นก่อนๆ ให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ผลวิจัยของ ศ.ดร.แฟรงค์ ศึกษาจากแบบสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพและอาหารของผู้ตอบทั้งชาย-หญิง รวม 121,342 ราย ระหว่างปี ค.ศ. 1980-2006 กระทั่งได้โอกาสวิเคราะห์ข้อมูลจึงพบว่า ปัจจุบันผู้ตอบแบบสอบถามในจำนวนดังกล่าว เสียชีวิตไปแล้ว 23,926 ราย
โดยสองหมื่นกว่ารายที่เสียชีวิตไปนั้น ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด 5,910 ราย และโรคมะเร็ง 9,464 ราย
ทั้งนี้ ศ.ดร.แฟรงค์ ระบุว่า ผู้ที่ชื่นชอบการกินเนื้อสัตว์มาก แต่ออกกำลังกายน้อยและไม่ได้มีกิจวัตรที่ต้องใช้พลังงานมากสักเท่าไหร่ ประกอบกับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมยังรวมกับพฤติกรรมสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงป่วยและตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 16 และมีโอกาสเสี่ยงถูกโรคมะเร็งคร่าชีวิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 
ซ้ำร้าย ถ้าชอบกินเบค่อนด้วย จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงป่วยตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกร้อยละ 21 และเพิ่มเสี่ยงเป็นมะเร็งแล้วม่องเท่ง ร้อยละ 16
อย่างไรก็ตาม หากกินเนื้อสัตว์ลดลงครึ่งหนึ่ง ศ.ดร.แฟรงค์ ชี้ว่า สามารถลดความเสี่ยงจากการตายด้วยสองโรคข้างต้นได้ โดยผู้ชายจะมีความเสี่ยงลดลง ร้อยละ 9.3 ขณะที่ผู้หญิงลดลง ร้อยละ 7.6
เป็นอันว่า ถ้าไม่อยากป่วยตายเพราะโรคมะเร็งกับโรคหัวใจ กินอาหารทุกหมวดหมู่ให้ครบ เน้นผักผลไม้ ยิ่งปลอดสารยิ่งดีนักแล.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com  
credit นสพ.เดลินิวส์

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประโยชน์มากมายในผักกาด

เนื้อหา »     
 
ผักกาด จัดเป็นผักประเภทกินใบ ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดดำ ซึ่งถือว่าเป็นผักพื้นเมืองในไทย ดองได้อร่อยกว่าผักดองเปรี้ยวเค็มชนิดอื่น ผักกาดขาวปลีที่ชาวไร่ปลูกขายในโรงงาน ปรุงสดๆ จะขมเฝื่อน แต่ถ้าดองแล้วรสชาติดี กรอบไม่ยุ่ย เก็บไว้ได้นานไม่เสีย หากปลูกกันมาก จะมีราคาถูก ต่ำสุดอยู่ที่ กก.ละ 30 สตางค์ หากในหน้าแล้งปลูกน้อย ราคาจะแพงถึง กก.ละ 5 บาทเลยทีเดียว กะหล่ำปลีและผักกาดกวางตุ้งอยู่ในตระกูลเดียวกัน ปลูกกันมากที่สุดในประเทศจีน สามารถนำมาทำเป็นแกงผักกาดจอและทำมัสตาร์ดขายไปทั่ว คะน้า ก็เป็นผักกาดอย่างหนึ่ง เชื่อว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกได้แข็งแรง และผักกาดโสภณ หรือผักฮ่องเต้ จะมีราคาแพงหน่อย แต่ก็มีสารอาหารพอๆ กัน
 
ผักกาดกินดอก เช่น กะหล่ำดอก ในทางวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า อุดมไปด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง คนไทยในอดีต จึงคั้นเอาแต่น้ำสดๆ อมกลั้วคอ รักษาอาการร้อนใน และทารักษาโรคเรื้อนกวาง บร็อคโคลี่ ก็นับว่าเป็นตระกูลเดียวกับผักกาด มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กะหล่ำดอกอิตาเลียน
 
ผักทั้ง 2 ชนิดนี้ ดอกกะหล่ำสวยๆ ขาวๆ ชาวสวนจะใช้ยาฆ่าแมลงและยากันเชื้อราฉีดลงไปทุกๆ วันนกว่าจะตัดขาย ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ผักก็จะถูกหนอนเจาะ และเชื้อดำระบาดบนดอก ซึ่งจะต้องหมั่นล้างและแช่ผักเพื่อให้สารเคมีของยาฆ่าแมลงหมดไป บร็อคโคลี่ กินได้สบายปาก แมลงมักไม่ค่อยะมารังควานเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังไม่เป็นที่นิยมรับประทานกันสักเท่าไหร่ จึงปลูกน้อย รวมทั้งปลูกให้ดูดีก็ยาก เพราะชอบอากาศที่หนาวเย็นมาก
 
ผักอีกอย่างที่อยู่ในตระกูลเดียวกับผักกาด ก็คือ หัวผักกาด ซึ่งกินแต่ส่วนหัว เช่น นำมาทำแกงจืด แกงส้ม หัวไชเท้า และดองไชโป๊หวาน และโหระพา ซึ่งเด็ดเอาแต่ใบ ล้างและแช่น้ำให้สดและกรอบ
 
สำหรับคุณค่าอาหารในผักกาด ที่เก็บมาฝากก็มีดังต่อไปนี้ บร็อคโคลี่ ซึ่งมีพลังงานมากกว่าผักชนิดอื่นๆ รองลงมา ก็คือ คะน้า หัวไชโป๊ กะหล่ำดอก ผักกาดขาวปลี(อีลุ้ย) และกวางตุ้ง ส่วนผักกาดหอม(ผักสลัด) ผักกาดแก้วที่ปลูกบนดอยสูง กับผักกาดนกเขา ไม่จัดเป็นผักในวงศ์เครือญาติของผักกาด ฝรั่งได้บอกว่า มันเป็นผักกาดปลอม
 
หากอยากจะทานผักกาดให้อร่อย ต้องปรุงให้สุกอย่างเร็ว โดยใส่ลงไปในน้ำเดือดจัดๆ ประมาณ 3 นาที ยกลงออกจากเตา หรือผัดด้วยไฟแรง และถ้าต้องการทำสลัด ก็ฉีกด้วยมือ ผักจะสดกรอบดีกว่าหั่นมีด
 
นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า ผักตระกูลผักกาด เป็นผักที่รักษาโรคครอบจักรวาล จึงแนะนำให้รับประทานผักอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันกระดูกพรุน หูตาที่ฝ้ามัว ป้องกันมะเร็ง หรือกินคะน้าที่สร้างเสริมกระดูกให้แข็งแรง จึงขึ้นชื่อว่า ผักสร้างกระดูก สารสำคัญที่พบในผักเหล่านี้ ก็คือ ซันโฟราเฟน (sulforaphane) สารผลึกอินโดลส์ (indoles) กรดธรรมชาติโฟลิก (folic acid) และกำมะถัน (sulphur)
 
แพทย์แผนไทยโบราณ ได้จัดผักกาดเป็นสมุนไพร ซึ่งสามารถนำผักจำพวกผักกาดต้มน้ำ ดื่มแก้เจ็บคอ หยดเป็นยาล้างแผลเรื้อรัง หอบหืด อีกวิธีหนึ่งคือ บดผักกาดหรือกวางตุ้ง คั้นเอาแต่น้ำ1 ถ้วย เทลงไปในน้ำเดือดจัด 2 ช้อนโต๊ะตั้งบนไฟ รีบยกออก ทิ้งไว้ให้อุ่น ดื่มแทนน้ำเสริมพลังงาน ลดอาการแก่ชราที่ความจำไม่ค่อยดีได้ ซึ่งเป็นแบบอย่างของจีน
 
จีน เป็นชาติที่น่านับถือในเรื่องการดูแลสุขภาพ เห็นว่ามีการตั้งโรงงานผลิตน้ำผักกาดสกัดเป็นแคบซูลขาย ซึ่งเป็นอาหารเสริม นับว่าสะดวกอย่างมาก
 
เราสามารถลวกใบผักกาดขาว ตัดเป็นชิ้นๆ โรยกับเกลือ น้ำส้ม น้ำตาล เหยาะน้ำมันงาบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา หมักประมาณ 10 นาที ทานกับข้าวต้มทุกวัน จะฟื้นตัวจากไวรัสตับอักเสบบีได้รวดเร็ว
 
สำหรับผักกาดเขียวปลี ครึ่งกก. เต้าหู้ขาว 3 ชิ้น มะขามป้อมลูกโต 8 ลูก ขิงสดแง่งใหญ่ นำไปต้มกับน้ำ 4 แก้ว ดื่มหลังอาหาร แก้อาการหวัดเย็นได้ อีกวิธีหนึ่ง คือ นำผักกาดเขียวปลี 1 กก.กับแห้วสดครึ่งกก. ต้มดื่มเป็นน้ำชา แล้วบีบมะนาวลงไปด้วย ช่วยขับปัสสาวะและลดความร้อนในร่างกาย ป้องกันโรคนิ่วได้
 
แต่ประโยชน์ของผักจะมีสูงสุด หากมีผักสวนครัวปลอดสารพิษ ที่เราสามารถใช้เวลาว่างปลูกเองได้ นับว่าดีทีเดียว              credit samunpai.com

แคนตาลูป น้ำผลไม้สดลดไข้

 แคนตาลูป ผลไม้รูปทรงกลมๆ รีๆ เนื้อมีสีส้มสวย รสหวานเย็น เป็นพืชล้มลุกประเภทไม้เลื้อย ซึ่งอยู่ในตระกลูเดียวกันกับแตงโมไทย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cucumis melo var. cantalupensis แคนตาลูปนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "แตงคุณหนู" เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย

      แคนตาลูปได้เข้ามาปลูกในบ้านเราได้ประมาณ 20 กว่าปีมานี้เอง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยเนื้อที่มีรสชาติเยี่ยม เสน่ห์ของแคนตาลูปอยู่ที่กลิ่นหอม เนื้อมีความกรอบเมื่อเคี้ยว ประกอบกับรสหวาน ยิ่งถ้ากินตอนแช่เย็นยิ่งอร่อยชื่นใจ นอกจากกินเป็นผลไม้สดแล้ว แคนตาลูปยังนิยมนำมาทำน้ำผลไม้เครื่องดื่มสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม

       ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U. ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป แคนตาลูป แคนตาลูปจะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

      น้ำแคนตาลูปนอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้

       การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี ไม่อ่อนเกินไป แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไป เมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่


        น้ำแคนตาลูป     

วิธีทำ 

       1. แคนตาลูปปอกเปลือกเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย 
       2. แตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก 1/2 ถ้วย 
       3. น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย 
       4. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา 
    ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูงจนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที

      น้ำแคนตาลูปผสม     
วิธีทำ
 

             1. แคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้ 
             2. นำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้งหรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 1/2 ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาที แล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่



ที่มา ... horapa.com                      credit samunpai.com

4 จุดเด่นบนใบหน้า

เนื้อหา »     
 
ในส่วนต่างๆ ของใบหน้า คิ้ว ตา แก้ม และปาก ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของใบหน้า ดังนั้นการแต่งสวย เติมแต่ง จุดดังกล่าว จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ จุดที่ว่านี้เป็นจุดที่มองเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้น ผู้เขียนมีหลักการเลือกใช้สีสันเครื่องสำอางมาแต่งแต้มให้ 4 จุดเด่นของใบหน้างามเด่นชัดน่ามองมากยิ่งขึ้นครับ
 
จุดที่ 1 เปลือกตา เป็นส่วนของใบหน้าที่สามารถใช้สีสันของอายแชโดว์ ได้หลากหลายที่สุด สำหรับสาวไทยส่วนใหญ่ที่มีสีผิวออกเหลือง การเลือกใช้อายแชโดว์ในกลุ่มโทนร้อน จึงเหมาะสมที่สุดครับ ซึ่งสีที่ว่านี้ได้แก่ สีส้ม น้ำตาล ทอง สีเบท เป็นต้น แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถเลือกทาอายแชโดว์กลุ่มสีโทนเย็นไม่ได้นะครับ ก็สามารถทาได้อยู่ แต่ทั้งนี้เพื่อให้สีสันออกมาดูดีและตรงกับสีผิวของสาวไทยมากที่สุด คุณผู้อ่านควรหัดผสมสีอายแชโดว์ให้ได้สีที่ออกมากลมกลืน และได้สีตามที่เราต้องการ อย่างเช่น ทาอายแชโดว์สีเบท (โทนร้อน) เป็นสีไฮไลน์ทั่วเปลือกตา จากนั้นตามด้วยสีเทาเงิน (โทนเย็น) ไล่จากขอบตาบนขึ้นไปเหนือตาพับ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มออกดำ (โทนร้อน) ตัดบริเวณหางตา เกลี่ยให้สีกลมกลืมกัน ซึ่งการแต่งตาลักษณะนี้เรียกว่าการแต่งตารูปแบบ วี-เชป(V-Shape) ซึ่งจะทำให้ตาดูโตมากขึ้น แต่การแต่งในลักษณะนี้มีความยากกว่าการแต่งตากลม คือต้องไล่ระดับสีให้กลมกลืนกันทั้งสองข้าง และที่สำคัญสีอายแชโดวที่นำมาตัดบริเวณหางตาต้องเกลี่ยให้เนียนไม่มีรอยเส้น สำหรับการแต่งเปลือกตาให้ออกมาสวยงามนั้นนั้นนอกเหนือจากการเลือกใช้อายแชโดว์แล้ว การดัดขนตา ปัดมาสคาร่า ก็ถือว่าเป็นจุดสำคัญเช่นกัน วิธีการดัดขนตาที่ถูกต้อง คุณผู้อ่านต้องเลือกซื้อเลือกใช้ที่ดัดขนตาที่มีแผ่นรองรับเป็นยางหรือซิลิโคนเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ผู้เขียนขอแนะนำว่าควรเลือกใช้แบบซิลิโคนจะเป็นการดีครับ เพราะเวลาดัดขนตาจะไม่หักงอ แต่ที่ตัดขนตาที่ว่านี้จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่รับรองครับว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอนครับ……ขั้นตอนการดัดขนตาที่ถูกต้อง ถ้าขนตาสั้นควรตัดขนตา 2 ขั้นตอน คือชิดขอบตาและปลายขนตา ส่วนคนที่มีขนตายาวต้องดัด 3 ขั้นตอน คือ ชิดขอบตา กึ่งกลาง และปลายขนตา การเลือกใช้มาสคาร่าในการปัดขนตาผู้เขียนแนะนำว่าควรเลือกใช้มาสคาร่าสีดำกันน้ำ เวลาใช้ควรปัดมาสคาร่าที่ขนตาล่างก่อน จากนั้นค่อยปัดขนตาบน ถ้ามาสคาร่าเปรอะเลอะขอบตา ปล่อยให้แห้งจากนั้นใช้คัตตั้มบัด สะกิดจุดดังกล่าวออก ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้มาคาร่าจะออกง่ายและไม่เลอะมากยิ่งขึ้น
 
จุดที่ 2 คือ คิ้ว การแต่งคิ้วให้สวยเป็นธรรมชาตินั้นถือว่าแต่งได้ยาก แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิดถ้าคุณผู้อ่านท่านใดที่มีโครงคิ้วและขนคิ้วที่สวยอยู่แล้วเพียงแค่กันขนคิ้วที่ขึ้นเกะกะ ให้เป็นระเบียบจากนั้นใช้มาสคาร่าสีน้ำตาลปัดขนคิ้วเบาๆ ให้เข้ารูปทรง ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้ามีเนื้อคิ้วที่น้อย การแต่งคิ้วให้เป็นธรรมชาติ ผู้เขียนแนะนำว่าควรใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลไล้เบาๆ ไม่ควรเขียนคิ้วให้เป็นแท่ง หรืออเป็นเส้น เพราะแลดูไม่เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญความเข้มของคิ้วต้องอยู่บริเวณหางคิ้ว และความยาวของคิ้วไม่เกินหางตา
 
จุดที่ 3 คือ แก้ม การแต่งแก้ม ณ ปัจจุบันนี้เน้นความระเรื่อแลดูมีเลือดฝาด สุขภาพผิวดี วิธีแต่ง เลือกใช้ปลัชออนสีชมพู หรือสีส้มโดยเริ่มปัดปลัชออนจากบริเวณจอนผมปัดเข้ามาหาจมูก อยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางตาตำ จากนั้นเกลี่ยสีบลัชออนกลับในแนวทางเดียวกันให้สีของบลัชออนหายเข้าไปในแนวจอนผม โดยเกลี่ยให้สีกระจายสม่ำเสมอ ถ้าสีบรัชออนมากเกินไปหรือเข้มเกินไป วิธีแก้ใช้พัฟที่มีแป้งฝุ้นติดอยู่กดซับเบาๆ ก็จะช่วยลดสีของบัชออนลงได้ครับ
 
จุดที่ 4 คือปาก การแต่งปาก ให้ออกมาสวยงามนั้น ลิปสติก ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเสริมให้เรียวปากสวยน่ามองยิ่งขึ้น สำหรับสีลิปสติกที่จะเลือกมาแต่งแต้มให้ริมฝีปากนั้นก็สามารถเลือกสีได้ตามใจชอบครับ ถ้าเป็นสาวมั่น สีแดงสด น้ำตาลเข้ม สีม่วงอมแดง จะเหมาะกับคุณมากที่สุด แต่ ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองก็เลือกสีลิปสติกอ่อนๆ จะเป็นการดี ที่สุดครับ หรือจะเลือกใช้ลิปกลอสทาให้ริมฝีปากออกสีระเรื่อ แค่นี้ก็อินเทรนด์สุดๆ แล้วครับ แต่ทั้งนี้ต้องดูโอกาสและสถานที่ด้วยนะครับ
 
การแต่งหน้าให้มีสีสันไม่ใช่เพียงแค่นำสีสันของเครื่องสำอางมาละเลงบนใบหน้า ให้เกิดสีสันเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะปฏิบัติอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่แต่งอยุ่ทุกวันนี้มันช่วยสร้างให้ตัวคุณสวยขึ้นหรือแย่กว่าเติม เพราะฉะนั้นการเรียนรู้การแต่งหน้าที่ถูกวิธี ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการเสริมความงามให้คุณสวยมากยิ่งขึ้น                      credit samunpai.com

ปากชุ่มชื้นลดปัญหาฟันผุ

 อะไรคือสิ่งที่ช่วยป้องกันฟันผุได้ตลอด 24 ชั่วโมงน่ะหรือ? น้ำลายนั่นเอง

            น้ำลายเป็นของเหลวธรรมชาติในปากที่ประกอบด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัสและแร่ธาตุหลายชนิด จึงมีสรรพคุณช่วยเติมเต็มแร่ธาตุให้กับผิวเคลือบฟันสีขาวมุกของเรา และยังช่วยลดความเป็นกรดซึ่งเกิดจากแบคทีเรยและน้ำตาลบางครั้งน้ำลายอาจลดลงเนื่องจากภาวะขาดน้ำ ซึ่งพบได้ในขณะเล่นกีฬา ใช้ยาบางชนิด อาเจียน หรือกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อน

   วิธีแก้ปัญหาปากแห้ง   

      สิ่งที่ควรทำ


        - จิบน้ำเปล่าบ่อยๆ น้ำช่วยให้เยื่อบุช่องปากชุ่มชื้นและละลายเมือก
        - กินอาหารกรอบหรืออาหารที่ต้องเคี้ยว เช่นหมากฝรั่งชนิดปลอดน้ำตาล เนยแข็ง และผักสด อาหารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย
        - ปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เรื่องการใช้สารทดแทนน้ำลายหรือเจลทาเยื่อบุช่องปาก เพื่อรักษาปัญหาเหงือกแห้ง ยาสีฟันบางชนิด เช่น ไบโอทีนสูตรรักษาปากแห้ง จะช่วยให้เยื่อบุช่องปากชุ่มชื้นขึ้น


      สิ่งที่ไม่ควรทำ

        - สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนมากเกินไป รวมถึงอาหารรสเผ็ด เพราะจะกระตุ้นให้ปากแห้งยิ่งขึ้น
        - หายใจทางปาก ให้พยายามหลีกเลี่ยงเพราะทำให้ความชื้นในช่องปากระเหยเร็วขึ้น



ที่มา ... Readers Digest                                                                     credit samunpai.com

เรื่องฝ้าๆ ปัญหาไม่ใหญ่

Melasma Mania

Melasma Mania

เรื่องฝ้าๆ ปัญหาไม่ใหญ่

by Daaw  Chonlada

นอกจากเรื่องสิวที่เป็นปัญหาผิวหน้าที่กวนใจสาวๆ มาตลอด ก็มีเรื่องฝ้านี่ล่ะค่ะ ที่ตามกันมาเหมือนพี่น้องกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะสาวๆ ที่เข้าใกล้เลข 3 จนถึงครองตัวมาพักใหญ่และจะไปเลข 4 ยิ่งต้องระวัง เพราะวัยเรานี่ล่ะเสี่ยงมากมายกับการเป็นฝ้า ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ขาวหมวยหน้าใสทั้งหลาย มีโอกาสเสี่ยงฝ้ามากกว่าสาวคมเข้มผิวไทยแท้กว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวก่อน …เรื่องฝ้าๆ ไม่ได้น่ากลัวกว่าที่คิด วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องฝ้ากันค่ะ

“ฝ้า” นี้ มีที่มา
ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับฝ้ากันก่อนค่ะ “ฝ้า” (Melasma) ที่เห็นนั้นเกิดจาก เซลล์สร้างเม็ดสี ในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลักษณะคล้ายกับจุดด่างดำแต่มีบริเวณที่กระจายกว้างกว่า บริเวณบนใบหน้ามักจะเกิดฝ้าได้ง่ายเพราะมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าส่วนอื่น เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก ตามสถิติแล้วพบการเกิดฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและพบมากในวัย 30-40 ปี

ฝ้าตัวร้าย เกิดได้ แต่ก็รักษาหายนะ
สาเหตุการเกิดฝ้าที่สาวๆ ควรรู้นั้นมี 6 ข้อด้วยกันค่ะ ไม่แน่นะคะ บางอย่างที่เป็นกิจวัตรประจำวันของคุณ อาจจะเป็นตัวทำให้เกิดฝ้าหรือเป็นตัวเร่งให้เกิดฝ้าได้เร็วขึ้นก็ได้ ถ้าใช่ ก็หยุดทำร้ายตัวเองอนจะสายนะคะ เรามาดูกันดีกว่าฝ้า เกิดจากอะไรไดบ้าง

1. แสงแดดตัวร้าย มาแรงแซงทางโค้งมาเลยค่ะ เพราะแสงแดดนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดฝ้า ทั้งแสงอัลตราไวโอเลตทั้ง รวมทั้งแสง visible light เป็นตัวทำให้เกิดฝ้า หรือกระตุ้นเกิดฝ้าได้มากขึ้นทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นวันไหนได้ออกจากออฟฟิศ แต่โดยแสงไฟจากห้องประชุมอาบร่างทั้งวันทั้งคืน ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นฝ้าได้ด้วยนะคะ ครีมกันแดดจึงเป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ในชีวิตเราเลยก็ว่าได้ ห้ามเกเรหรือขี้เกียจทาเด็ดขาก ถ้าไม่อยากโดนฝ้าถามหานะคะสาวๆ
2. ฮอร์โมน ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์, วัยหมดประจำเดือน อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ แต่หลายคนอาจมองว่าไกลตัว แต่ก็ไม่แน่นะคะคุณอาจได้รับ ฮอร์โมนจากภายนอกร่างกายได้เช่นกัน เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด, การใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีฮอร์โมผสมอยู่ (เช่น ครีมอกตู้มทั้งหลาย มักมเฮอร์โมนเพศที่สกัดจากพืชผสมอยู่มาก) จึงมักพบผู้ที่เป็น ฝ้า ขณะตั้งครรภ์ หรือ รับประทานยาคุมกำเนิดได้บ่อย การลด ละ เลิกการทานยาคุมกำเนิดหรือเครื่องสำอางตัวนั้นอาจทำให้ฝ้าดีขึ้นได้ค่ะ หรือถ้าใครต้องทานยาคุมจริงๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อหายาตัวอื่นที่มีปริมาณฮอร์โมนต่ำกว่าที่ทานอยู่แทนไปก่อนก็ได้ค่ะ

3. ยา พบว่าผู้ที่รับประทานยากันชักบางชนิด มักเกิดผื่นดำคล้ายรอย ฝ้า ที่บริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า ทางแก้อันนี้คงมีทางเดียวคือต้องตีหน้าเศร้าเข้าพบแพทย์กันไป บอกคุณหมอให้เปลี่ยนยาใหม่ พร้อมรักษาฝ้าไปในคราวเดียวกัน
4. เครื่องสำอาง การแพ้ส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิดอาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้ ส่วนผสมเหล่านี้อาจเป็นพวกสารให้กลิ่น หรือ สี ทีนี้จะเป็นตัวไหนนั้นสาวๆ ต้องลองพิจารณาเครื่องสำอางในกรุตัวเองดูแล้วล่ะค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว เครื่องสำอางที่เสี่ยงต่อการทำให้เกิดฝ้ามักเป็นครีมบำรุงประเภท Whitening ทั้งหลายล่ะค่ะ โดยเฉพาะพวกครีมผีบอก เทวดาสั่ง ไร้ที่มาแต่โฆษณาว่าจะขาวได้ใน 3 วัน 7 วัน อันนี้เสี่ยงสุดๆ ค่ะ
5. พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้าด้วยนะจะบอกให้ เนื่องจากมีรายงานว่าเป็นในครอบครัวได้ถึง ร้อยละ 30-50 เลยทีเดียว แต่รู้แล้วอย่าเพิ่งเศร้าใจไปค่ะ จุดนี้หากเราดูแลตัวเองดีๆ ใช้กันแดดทุกครั้งที่ออกแดด ไม่เสี่ยงกับเครื่องสำอางแปลกๆ ไม่ต้องทานยาคุมกำเนิด เรื่องที่เราจะเสี่ยงจากฝ้าได้นั้นก็น้อยมาก หายห่วงค่ะ
6. ขาดวิตามินบางตัว มีการพบว่าผู้ป่วยที่ขาดวิตามินบี 12 จะมีการทำงานผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน ก่อให้เกิดฝ้าได้ วิตามิน B 12 ก็ไม่ได้หายากอะไรค่ะ สาวๆ ที่รับประทานเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง และอาหารหมักดองเช่น กะปิ น้ำปลา เต้าเจี้ยวบ้าง ก็จะได้รับวิตามินตัวนี้ไปอยู่แล้ว ส่วนใครที่ไม่มีเวลา หาวิตามิน B รวมมาทานก็ได้ค่ะ นอกจากวิตามิน B 12จะช่วยเรื่องฝ้าแล้วยังช่วยบำรุงปลายประสาทอีกด้วย เรียกว่าคุ้มสองเด้งเลยนะคะงานนี้

ฝ้าเกิดได้ ก็หายได้ค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะฝ้าเกิดใหม่ ใช้เพียงแค่ครีม whitening ทาตั้งแต่ยังเป็นจุดด่างดำก็ช่วยได้เยอะแล้วค่ะ ที่สำคัญต้องอย่าลืมครีมกันแดด เมื่อต้องออกแดดต้องรีบทำให้ผิวเย็นลงเร็วที่สุด ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดการเกิดฝ้าได้มากขึ้นค่ะ ที่สำคัญเรื่องการการใช้เครื่องสำอางที่ต้องรอบคอบมาก เพราะถ้าหากใช้ไปเรื่องเปื่อยตามกระแส หน้าเราอาจจะพังได้ง่ายๆ นะคะ บางครีมขาวจริงค่ะ ไม่กี่วันเท่านั้น พอเลิกใช้ หน้าใสๆ ก็กลายเป็นเสื่อมๆ ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมาย เพราะฉะนั้นอย่าเอาหน้าเราไปเสี่ยงกับฝ้า เพราะแค่คำว่าขาวใส่ไม่กี่วันเลยนะคะ                    ขอขอบคุณข้อมูลจาก chicministry.com