วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภัยสุขภาพยุคดิจิตอล...ที่ไม่ควรมองข้าม


อยากให้ทุกคนหยุดเวลาสักนิด แล้วมาสำรวจตัวเองว่า จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อภัยสุขภาพในยุคสังคมดิจิตอลนี้หรือไม่
- นั่งปฏิบัติงานในอิริยาบถเดิมๆ นานเกินกว่า 6 ชม./วัน

- นั่งทำงานอยู่กับตัวเลขนานเกินกว่า 6 ชม./วัน

- นั่งตรวจและเขียนเอกสารนานเกินกว่า 6 ชม./วัน

- ต้องใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการทำงานเกินกว่า 6 ชม./วัน

หาก 1 ใน 4 ข้อข้างต้นตรงกับพฤติกรรมประจำวันของคุณแล้ว คุณนับเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่กำลังถูกคุกคามจากภัยร้ายในสำนักงานนั่นเอง เพราะเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ได้มีการสำรวจชาวอเมริกันกว่า 50 ล้านคน จาก 200 กว่าล้านคน ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานและมีอยู่ที่บ้านมากที่สุด มีการวิจัยออกมาว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ล้วนมีปัญหาทั้งทางระบบสายตา และอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั้งสิ้น

สำหรับประเทศไทย ล่าสุดศูนย์ศึกษาและวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำการสำรวจอาการปวดหลังในกลุ่มตัวอย่างคนทำงานในออฟฟิศ ระหว่างเดือนมกราคม 2551 ที่ผ่านมา ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จำนวน 413 คน (ชาย 183 คน หญิง 230 คน) พบว่า ส่วนใหญ่ทำงานบนโต๊ะทำงานเฉลี่ยเกินกว่า 6 ชม./วัน และใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานมากกว่า 6 ชม./วัน และมีอาการปวดที่เป็นกันมากที่สุด ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา 5 อันดับแรก ก็คือ ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดเอว และปวดศีรษะ โดยอาการปวดคอ มากถึง 84% และปวดไหล่ 71%ปัญหาเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจทวีความรุนแรงจนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่อไป

สำหรับวิธีการป้องกันและรักษานั้น สามารถทำได้หลากหลายตามแต่สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการปรับบริเวณโต๊ะทำงานหรือที่ทำงานให้เหมาะสม เปลี่ยนอิริยาบถบ้างในการทำงาน หรือเคลื่อนไหวร่างกายทุก 15-20 นาที ขจัดความเครียดในการทำงานออกไปให้หมด และเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อด้วย การนวด การใช้ความร้อน-เย็นเพื่อให้กล้ามเนื้อยืดหดตัว รวมไปถึงการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ในท่าทางต่างๆ ส่วนผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาและต้องการความสะดวก ก็ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่พัฒนาให้เหมาะสำหรับการบรรเทาปวดบริเวณคอและไหล่ เป็นต้น
ใส่ใจตัวเองสักนิด เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
credit ที่มา women.thaiza.com 

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หลักง่าย ๆ กินเจให้ถูกวิธี

สัญลักษณ์ธงเหลืองปลิวไสวอยู่ตามแผงร้านอาหาร เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเทศกาลสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่าง "เทศกาลกินเจ" ที่หลายคนเลือกจะงดบริโภคอาหารสัตว์ แล้วหันมาทานผัก โปรตีนที่ได้จากถั่ว เต้าหู้แทน พร้อมๆ ไปกับการรักษาศีล ทำความดี

      แล้วกินเจอย่างไรให้ถูกวิธี ไม่ให้อ้วน ไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารมีคำแนะนำดีๆ มาบอก การกินเจถือเป็นเรื่องดี ที่คนหันมากินผักมากกว่า แต่การกินเจใช่เพียงจะมองแต่จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่ควรมองเรื่องของการถือศีลควบคู่เป็นสำคัญ ส่วนวิธีการกินเจให้ถูกวิธี มีหลักง่ายๆ 8 ข้อ 

    
 1. ต้องมั่นใจว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะหมู่โปรตีน ซึ่งโปรตีนที่จะมาทดแทนเนื้อสัตว์คือ โปรตีนที่ได้จากถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งปัจจุบันนี้มีการผลิตออกมาในรูปแบบของเต้าหู้แผ่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ทอด ขณะที่วิทยาศาสตร์ด้านอาหารก้าวไกลไปมาก จึงทำให้เกิดโปรตีนเกษตรที่ปัจจุบันนี้ก็มีผู้นิยมบริโภคจำนวนมากเช่นกัน แต่จากที่ตนได้ลงสำรวจในตลาดพบว่า ปัจจุบันนี้มีการทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ แต่ไม่ได้ทำมาจากโปรตีนเกษตร โดยทำมาจากแป้ง ซึ่งก็อาจส่งผลให้ผู้บริโภคที่ไม่รู้ทานมากไปอาจอ้วนได้

    
2. ความสะอาด ส่วนมากผู้ทานเจในปัจจุบันจะมักนิยมไปซื้ออาหารเจตามร้านค้า ไม่ค่อยปรุงอาหารเอง ซึ่งก็เสี่ยงต่อเรื่องของความสะอาด ดังนั้นผู้ปรุงอาหารเจขายควรคำนึงเรื่องของความสะอาดให้มาก โดยเฉพาะการทำความสะอาดผักที่นำมาประกอบอาหาร การเลือกดูเครื่องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็นซอส ซีอิ๊ว ต้องดูวันหมดอายุ และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นต้น

      แนะวิธีล้างผักง่ายๆ นำผักสดที่ซื้อมาใส่ภาชนะ เติมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 2-5 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีก 1 รอบ ก็จะช่วยล้างสารพิษออกจากผักได้ในระดับหนึ่ง ประมาณ 30-70%

    
 3. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ในที่นี้หมายถึงรสมันจัดกับเค็มจัด เพราะอาหารเจมักจะปรุงด้วยวิธีการผัด-ทอดในน้ำมัน หากเป็นไปได้ควรหันมาบริโภคอาหารประเภทต้ม ย่าง อบ ยำ เช่น ยำมะเขือยาว แกงจืดเต้าหู้ ฯลฯ แทน

      ส่วนรสเค็มจัดนั้น ต้องอย่าลืมว่าการปรุงอาหารก็จะใช้ซอส ซีอิ๊ว เกลือแทนน้ำปลา ซึ่งเครื่องปรุงเหล่านี้มีปริมาณของโซเดียมสูง ซึ่งจะส่งผลให้ไตทำงานหนัก
      ปกติคนเราจะบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 mg./วัน

    
 4. ควรเลือกทานผัก-ผลไม้สด มากกว่าผักดอง เพราะผักสดมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าผักดอง

    
 5. อาหารเจประเภทที่ปรุงด้วยวิธีการเคี่ยวนานๆ อาจทำให้คุณค่าของสารอาหารสูญเสียไป เช่น ต้มจับฉ่าย ที่ต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน ในส่วนนี้ต้องระวังเรื่องของคุณค่าอาหารจะหายไป รวมถึงความสะอาดของผัก เพราะหากไม่ล้างให้สะอาดแล้วนำมาปรุง ก็เท่ากับสารพิษก็จะตกค้างอยู่ในหม้อ

    
 6. ทานเจให้ได้ไอโอดีนอย่างเพียงพอ เพราะการทานเจไม่ได้รับประทานอาหารทะเล ดังนั้นการรับประทานอาหารเจก็ควรเติมเกลือไอโอดีนใส่ในการปรุงรสด้วยก็จะช่วยทดแทนได้

    
 7. ควรบริโภคข้าวกล้องมากกว่าข้าวขาว เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีนมากกว่าข้าวขาว

    
 8. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม แล้วหันมาดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์แทน


        
 8 ข้อหลักนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผู้บริโภคจะเลือกไปปฏิบัติ แล้วรู้หรือไม่ว่าการกินเจจะมีประโยชน์กับระบบของร่างกายอย่างไร? ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุประโยชน์ของการกินเจไว้ว่า

     
    - ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกให้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผลไม้ช่วยให้การขับถ่าย และการย่อยเป็นปกติ

     
 - เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาว ผิวพรรณสดชื่น ผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด มีสุขภาพอนามัยดี

      
- อวัยวะหลักสำคัญภายในและอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง (อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ, ไต, ม้าม, ตับ, ปอด) (อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี)

      
- ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา อาทิ สารเคมี, ยากำจัดศัตรูพืช, ยาฆ่าแมลง, ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล และสารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และในสงคราม

       ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักเป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎ

      โดยเฉพาะโรคที่รุนแรงและเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง,โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เส้นเลือดตีบ, ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต, โรคไต, ไขข้ออักเสบ, โรคเกาต์, โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร, มะเร็งในกระเพาะ และลำไส้, โรคกระเพาะ, อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบในผู้ที่รับประทานอาหารเจอาหารพืชผัก และผลไม้เป็นประจำ
       เห็นคุณประโยชน์นานัปการแบบนี้แล้ว กินเจปีนี้ ใครที่ยังไม่เคยทานเจ ลองหันมาทานเจดูบ้าง อย่างน้อยก็เหมือนเป็นการล้างพิษในร่างกายแถมยังอิ่มบุญอีกด้วย   credit ที่มา women thaiza.com

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

7 เคล็ดลับผิวหน้าสวยใส ไม่มันง่ายๆ ได้ทั้งวัน



7 เคล็ดลับผิวหน้าสวยใส ไม่มันง่ายๆ ได้ทั้งวัน
1.ทาครีมบำรุงเสมอ
ก่อนลงเมคอัพ ควรทาครีมบำรุงผิวหน้า ใช้เวลาไม่เยอะหรอก ลองทำดู ไม่นานเกิน 3 – 5 นาที เท่านั้นขอให้คุณผู้หญิงลองทำกันดู เพราะการทาครีมบำรุงใบหน้านั้นจะช่วยให้ผิวของคุณผู้หญิงมีอาหารไปหล่อเลี้ยงตลอดวัน สำหรับคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบทาครีมบำรุงหรอกันแดด เมื่อเผยผิวหน้าที่แท้จริงผิวหน้าจะสดใสต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน
2.ใช้สเปรย์น้ำแร่
ถ้าคุณผู้หญิงยุ่งมากๆ จนไม่มีเวลาบำรุงผิวลองหาเวลาสักเพียงหนึ่งนาที ฉีดสเปรย์น้ำแร่ให้ทั่วผิวหน้าของคุณผู้หญิงจากนั้นซับออกเบาๆ วิธีนี้จะช่วยผิวหน้าคงไว้ซึ่งความชุ่มชื่นตลอดวัน
3.ดื่มน้ำเปล่าทุกชั่วโมง
เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่งเพราะน้ำคือตัวการหล่อเลี้ยงผิวไม่ให้แห้งกร้าน ในวันหนึ่งๆ ควรดื่มน้ำให้ได้ 6-8 แก้ว เป็นอย่างต่ำ เพื่อรักษาสมดุลของน้ำหล่อเลี้ยงผิว ส่วนพวกชา กาแฟ ที่คุณผู้หญิงทั้งหลายชอบซื้อมาดื่มกัน บอกไว้เลยว่า คาเฟอีนเพียบ และมีแต่จะทำให้คุณผู้หญิงดูแห้งกร้าน เลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่าค่ะ หรือติดน้ำหวานๆ อยากได้อะไรสดชื่นๆ ดื่มแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้สด จะปั่น คั้น ก็ได้มีประโยชน์กับผิวดีกว่าชา กาแฟ เยอะเลย
4.ไม่จับหน้าบ่อยๆ
คุณผู้หญิงรู้ไหม ว่าที่มือเราสัมผัสอะไรมานักต่อนักวันๆนึงๆ นั้นสะสมเชือโรคตั้งไม่รู้เท่าไหร่ นี่ถ้าเอากล้องจุลทรรศน์มาส่องที่มือตัวเอง คุณผู้หญิงอาจตะลึงไปเลยก็ได้ เพราะมือที่ดูภายนอกว่าสะอาดแล้ว แท้จริงอุดมไปด้วยเชื้อโรคมากมาย ดังนั้นคุณผู้หญิงจึงไม่ควร ใช้มือลูบจับใบหน้าเด็ดขาด หากกลัวหน้ามัน ให้หากระจกส่องและใช้กระดาษซับหน้าซับออก
5.หาเวลาบริหารใบหน้า
วิธีบริหารกล้ามเนื้อหน้าให้กระชับ ห่างไกลจากรอยตีนกาที่จะมากวนใจนั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแค่นั่งหันหน้าตรงแล้วพูด “อา อี เอ โอ ยู” ช้าๆ ช้ำๆ ซัก 10 ครั้ง โดยเวลาพูดให้คุณผู้หญิงอ้าปากให้เต็มที่จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อใบหน้าได้เคลื่อนไหว เท่านี้ก็ช่วยผลักดันรอยตีนกาที่จะมาเยือนออกไปได้แล้ว
6 ล้างทำความเครื่องสำอางบนใบหน้าให้สะอาด
ควรทำความเครื่องสำอางบนใบหน้าให้สะอาด เนื่องจากเครื่องสำอาง ที่หลงเหลือไว้จะทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน ตามมา และสิวจะถามหาต่อมานั่นเอง ดังนั้นควรสละเวลาสละเวลาในการเช็ดเครื่องสำอางแค่วันละ 2-3 นาที เพื่อทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจด ลงปัญหาที่จะตามมากวนใจ
7. ใช้กระดาษซับมัน
เวลาที่คุณผู้หญิงจะเติมแป้ง ไม่ควรใจร้อนรีบเอาแป้งมาเติมลงบนใบหน้า แต่ควรใช้กระดาษซับมัน ซับลงบนใบหน้าก่อน เพราะหากคุณผู้หญิงรีบเติมแป้งขณะที่หน้ามัน ก็จะเป็นการสร้างความหมักหมมความสกปรกลงไปบนผิวหน้าโดยตรง อาจก่อให้เกิดสิวตามมาทีหลังได้ ดังนั้นทางที่ดี คุณผู้หญิงควรเอาน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าออกเสียก่อน แล้วจนแน่ใจว่าหน้าไม่มันแล้ว จากนั้นค่อยเติมแป้งให้หน้าเด้งสวยได้ตามใจชอบ
ขอบคุณภาพจาก : beautyfullallday.com
บทความโดย : Ladyvisa.com   credit ที่มา Ladyvisa.com
ภาพดุ๊กดิ๊กจาก moofahsai.com

9 เทคนิคที่ช่วยให้คุณผู้หญิงนอนหลับง่ายและแสนสบาย


9 วิธีที่ช่วยให้คุณผู้หญิงนอนหลับง่ายและแสนสบาย
      เรารู้กันดีว่าการนอนหลับคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือ หลายคนนอนยังไงก็นอนไม่หลับ หากใครไม่เคยเป็นก็คงไม่รู้รสชาติของความทรมาน หากเทคนิคมากมายที่เคยใช้ไม่สามารถทำให้คุณผู้หญิงนอนหลับได้ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู รับรองว่าจะทำให้หลับสนิทได้ง่ายขึ้น           
1.ฝึกเข้านอนให้ตรงเวลา ร่างกายของเราถูกสร้างมาให้ทำงานสอดคล้องกับความเป็นไปในธรรมชาติ นั่นแหมายความว่า คุณผู้หญิงควรพยายามนอนและตื่นเป็นเวลาเดิมทุกวันทุกเช้า ไม่ว่าเมื่อคืนจะนอนกี่ทุ่ม การชดเชยเวลานอนที่เสียไปด้วยการนอนตื่นสายในวันสุดสัปดาห์จะทำให้ตื่นยาก เมื่อถึงเช้าวันที่ต้องไปทำงาน           
2.อาบน้ำอุ่นก่อนนอน เป็นการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนได้ดี และช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น           
3.ผ่อนลมหายใจ โดยเริ่มจากหายใจเข้าทางจมูก นับ 1-5 ในใจ จากนั้นปล่อยลมหายใจออกทางปากช้า ๆ ในระหว่างนั้น นับ 1-10 ในใจจะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงทันที ขณะเดียวกันควรปล่อยวางเรื่องเครียดไปพร้อม ๆ กันด้วย           
4.ดื่มนมอุ่น ๆ สัก 1 แก้ว กรดอะมิโนในนมมีส่วนช่วยในการทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและให้คุณผู้หญิงนอนหลับได้สบายขึ้น           
5.จิบน้ำผึ้งสักครึ่งช้อนชา เพียง 5 นาทีหลังจากที่ดื่มน้ำผึ้งจะเข้าไปมีส่วนกระตุ้นให้สมองหลั่งสารซีโรโทนิน ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และช่วยทำให้คุณง่วงได้           
6.ทำมือให้อุ่น การทำมือให้อุ่นจะสามารถลดความตึงเครียดลงได้ก่อนนอนอาจจะแช่มือในน้ำอุ่นสักครู่ ก็มีส่วนช่วยทำให้คุณผู้หญิงนอนหลับได้ง่าย และสบายขึ้นด้วยค่ะ           
7.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างหนัก 4 ชั่วโมงก่อนนอน อาจทำให้นอนยากขึ้น แต่หากทำก่อนหน้านั้นสัก
6 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นเมื่อถึงเวลานอน และหลับได้ลึกอีกด้วย           
8.เลือกเสียงเพลงขับกล่อม บรรยากาศที่ดีช่วยให้เราเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก ลองเลือกเพลงบรรเลงเบา ๆ ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้ดูสงบมาฟัง อาจจะช่วยเร่งให้การนอนได้เร็วและลึกขึ้น ควรตั้งเวลาปิดเพลงด้วยก็ดี เพราะขณะนอนหลับควรเป็นเวลาที่เงียบจะดีที่สุด           
9.สร้างบรรยากาศในการนอน อุณหภูมิภายในห้องควรอยู่ที่ระดับเย็นสบาย ห้องนอนควรมืดสนิท โดยใช้ผ้าม่านเนื้อหนา เพื่อสร้างบรรยากาศในการนอน ความมืดสนิทจะช่วยให้คุณผู้หญิงหลับง่ายและเร็วขึ้น
ขอบคุณภาพจาก : healthytips.exteen.com
บทความโดย : Ladyvisa.com   credit ที่มา Ladyvisa.com
ภาพดุ๊กดิ๊กจาก moofahsai.com

อาหารที่มีส่วนช่วยให้ฟันขาว


อาหารที่มีส่วนช่วยให้ฟันขาว
คุณผู้หญิงที่อยากรักษาฟันขาวดูดีตลอดเวลา ลองมาดูเทคนิคดีๆ กันว่าจะต้องกินอะไรบ้างที่จะช่วยให้ฟันของคุณผู้หญิงขาวดูดีตลอดเวลา
1. แอปเปิ้ล และแครอท
คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะว่าทั้งสองอย่างนี้คือผักผลไม้หรุบกรอบแสนอร่อยแถมมากด้วยคุณประโยชน์โดยการช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งน้ำลายในปากของคุณผู้หญิงนี่เอง ที่เป็นน้ำยาทำความสะอาดตามธรรมชาติและด้วยความกรอบของแอปเปิ้ล และแครอทนั้นยังสามารถช่วยขัดคราบสกปรกที่ติดตามฟันของคุณผู้หญิงในขณะที่กำลังเคี้ยวได้อีกด้วย
2. บร็อกโคลี่
ผักมากประโยชน์แสนอร่อย นอกจากจะที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันคุณผู้หญิงจากมะเร็งและโรคหัวใจแล้ว บร็อกโคลี่ยังช่วยปกป้องฟันโดยการสร้างเยื่อกั้นบาง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านกรดช่วยปกป้องและเคลือบฟันอีกชั้นหนึ่ง… เคยมีงานวิจัยจากบราซิลว่า บร็อกโคลี่จะช่วยลดการสึกกร่อนของเคลือบฟันที่เกิดจากน้ำอัดลมได้กว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องฟันและเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างเพียงพอ
ลองหันมาทานบร็อกโคลี่กันนะคะ
3. ส้ม และสับปะรด
ส้ม และสับปะรด สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลายในปากของคุณผู้หญิงได้ หรือถ้าคุณผู้หญิงจะลองนำเปลือกด้านในของส้มมาลองถูกับฟันดู ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการสะสมของคราฟัน ทำให้คุณผู้หญิงยิ้มได้อย่างมั่นใจไร้กังวล
4. มะนาว
ลองนำมะนาวผสมกับเบคกิ้งโซดา หรือเกลือ มาแปรงฟันดู จะช่วยให้ฟันของคุณผู้หญิงขาวได้ แต่ข้อสำคัญคือ
หังจากแปรงแล้วให้กลั้วปากให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า เพราะกรดจากน้ำมะนาวอาจทำให้เคลือบฟันของคุณผู้หญิงสึกกร่อนได้ด้วยเช่นกัน
5. สตรอเบอร์รี่ แตกต่างจากเบอร์รี่สีเข้มอื่น ๆ
เพราะสตรอเบอร์รี่จะไม่ทำให้ฟันเป็นคราบ แต่จะช่วยขัดฟัน ลองผสมแป้งทำเป็นครีมแล้วทาลงบนฟันสัก 5 นาทีจากนั้นล้างออกก็จะพบว่าฟันสะอาดขึ้น ดูขาวขึ้นด้วย
6. เห็ดหอม
เนื่องจากในเห็ดหอมมีน้ำตาล Lentinan ซึ่งจะช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้สามารนำพาฟันของคุณผู้หญิงไปสู่ภาวะฟันผุและเคลือบฟันกร่อนได้
7. งา
เมล็ดงานั้น สามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนสครับที่ช่วยลดคราบฟันได้ และในงายังมีแคลเซียมซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อสุขภาพฟันที่ดี
นอกจากงาแล้ว ถั่ว อัลมอนด์ก็ให้ประโยชน์และเป็นสรคับแบบเดียวกันกับงาด้วยเช่นกันค่ะ
8. น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์
ถือว่าเป็นน้ำยาขจัดคราบที่ดีมากสำหรับฟันคุณผู้หญิง แต่รสอาจไม่เหมาะจะนำไปกลั้วปากเท่าไหร่ ดังนั้นลองสูตรนี้คือ ใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับเบกกิ้งโซดาเพื่อทำเป็นครีมไว้ถูบนฟันจะดีกว่าเป็นไหนๆ
บทความโดย Ladyvisa.com
ขอบคุณภาพจาก : mychilchil.com  credit ที่มา Ladyvisa.com
ภาพดุ๊กดิ๊กจาก moofahsai.com